จากกรณีฆาตกรรมอำพราง คนร้ายฆ่าด.ช.อรรถสิทธิ์ ลีเลิศยุทธ์ หรือน้องเบิร์ด อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.1 ร.ร.วชิรธรรมสาธิต เสียชีวิต จากนั้นพบศพอยู่บริเวณบันไดหนีไฟ มีร่องรอยถูกตีด้วยของแข็งที่ท้ายทอยและขมับด้านซ้าย เหตุเกิดภายในอาคารยงเจริญคอมเพล็กซ์ ตึกดี ซ.สุภาพงษ์ 1 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม. เมื่อ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาผลการสอบสวนพบว่า คนร้ายคือนางสมจิตร จำปาดี อายุ 55 ปี ยายแท้ๆ ของน้องเบิร์ด ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

สอบสวนทราบว่า ก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปี ด.ช.อรรถสิทธิ์ หรือ น้องเบิร์ด ทะเลาะวิวาทกับนางสมจิตรหลายครั้ง ขณะที่นางสมจิตร ผู้เป็นยายอ้างว่าตนว่ากล่าวตักเตือนมาตลอด ล่าสุดไปมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน จนถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองเชิญผู้ปกครองไปพบ กระทั่งวันที่ 12 ก.ค. เวลา 22.00 น. ขณะที่ด.ช.อรรถสิทธิ์ นอนคว่ำคางเกยหมอนดูโทรทัศน์ นางสมจิตรใช้ไม้ท่อนภายในห้อง ตีที่ท้ายทอย 1 ครั้ง จากนั้นเวลา 24.00 น. ได้นำไม้ที่ใช้ตี ผ้าห่มและหมอนเปื้อนเลือดใส่ถุงพลาสติกไปทิ้งคลองด้านหลังอาคาร ก่อนที่เวลา 03.00 น. ของวันที่ 13 กรกฎาคม จึงลาพศพ ด.ช.อรรถสิทธิ์ จากห้องเกิดเหตุไปทิ้งบริเวณบันได้หนีไฟระหว่างชั้น 3 และชั้น 4 อาคารยงเจริญคอมเพล็กซ์ ตึกดี กระทั่งมีผู้มาพบศพ
พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวว่า คดีนี้เมื่อเย็นวาน ตนไม่ได้ปฏิเสธว่าจับไม่ได้ และได้ควบคุมตัวยายที่อยู่กับเด็ก 2 คน โดยเมื่อสอบปากคำอย่างละเอียด ยายก็รับสารภาพว่าได้ใช้ไม้ที่อยู่ในห้องทำร้ายโดยการฟาดไปที่ศีรษะของ ด.ช.อรรถสิทธิ์ 1 ครั้ง และไม่คิดว่าจะทำให้ถึงกับเสียชีวิต จากนั้นลากศพไปในจุดที่ได้พบศพ ซึ่งขณะนี้ก็รับสารภาพทั้งหมด ที่เมื่อคืนนี้ตนไม่ให้ข้อมูล เนื่องจากเราจะฟังคำรับสารภาพจากผู้ต้องหาฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องมีหลักฐานอื่นๆ ที่มายืนยันพิสูจน์ทราบให้ได้ว่าเป็นผู้กระทำผิดจริงๆ เมื่อคืนที่ผ่านมาตำรวจทำงานทั้งคืนก็ได้ไม้ที่ใช้ตีและผ้าห่มที่คลุมศพและใช้ลากไป โดยก่อเหตุเพียงคนเดียว
ด้านนางสมจิตรให้การทั้งน้ำตาว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเนื่องจากหลานไปมีเรืองกับเด็กรุ่นเดียวกัน โดยไปมีเรื่องชกต่อยกันบ่อยครั้ง ยายก็นึกอายคนอื่นเขาเนื่องจากมีเรื่องบ่อยครั้ง พอหลานกลับจากโรงเรียนมาจึงตักเตือนว่า ๐อย่าให้มีเรื่องกันบ่อย เพราะยายอับอายขายขี้หน้าหมดแล้ว นักเรียนตั้ง 2,000 กว่าคน หนูทำอยู่คนเดียว ยายก็เสียใจ หนูอย่าทำได้ไหมครั้งหน้า เข้าโรงเรียนไม่ถึง 2 เดือนเลย แล้วหนูก็ก่อเรื่องให้ยายเป็นผู้ปกครองไปที่โรงเรียนยายเสียใจมาก๐
นางสมจิตร ให้การอ้างว่า วันนี้ที่มันถึงที่สุดเพราะมันแรงมาก เขาบอกว่าวันนี้หนูจะขอตังค์ยาย 500 บาท หนูจะไปเที่ยว ยายบอกว่ามีแบงค์ 1,000 บาท แค่แบงค์เดียว เดี๋ยวเอาไปซื้อของก่อน แล้วยายจะให้ ยายโกหกเขาเพราะยายไม่มีตังค์เยอะ จากนั้นเขาเอามีดมาขู่จะทำร้ายยาย ยายบอกว่าขอไว้ก่อน ยังไงยายก็ให้หนูอยู่แล้ว เขาก็ฟังเขาก็รอ
ถามว่าเคยถูกหลานทำร้ายมาก่อนหรือไม่ นางสมจิตรกล่าวว่า บางทีเขาก็ผลัก เขาเคยชกที่หน้าอกจนสลบไปครั้งหนึ่ง แต่ยายไม่เคยพูดให้แม่เขาฟัง เพราะกลัวแม่เขาจะเสียใจ เพาะหลานยายเลี้ยงมาตั้งแต่ 2 ขวบ เพาะพ่อเสียไป ถามว่าหลายเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ นางสมจิตรกล่าวว่า "ไม่รู้ค่ะ เรื่องนี้ไม่รู้"
ถามว่าตีตอนไหน นางสมจิตรกล่าวว่า ตีตอนที่หลังจากเลิกทะเลาะกัน หลังจากสั่งสอนหลานแล้ว พอถึงเวลาเอาตังค์ให้ แต่ยายไม่ให้ เขาก็เตะยายไป 1 ครั้ง บอกว่าหากไม่ให้ยายตายวันนี้ ยายก็ร้องไห้เสียใจว่าเลี้ยงหลานมานานเกินและเลี้ยงดีเกินไป
ด้านพล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวอีกว่า เหตุผลที่ไม่ได้ซักถามมากแต่ต้น เนื่องจากอยากให้งานศพผ่านไปเรียบร้อยก่อน เพราะญาติพี่น้อง และคุณแม่เขาก็กำลังเสียใจอยู่ โดยในส่วนของนางสมจิตรนั้น ปี 2536 มีประวัติยิงสามีตนเองตาย พื้นที่ สน.บางนา และสู้คดีจนหลุดคดี ก่อนมาก่อเหตุฆ่าหลานในครั้งนี้ คำให้การของยายมีพิรุธมาตั้งแต่ต้น ขัดแย้งกับพยานหลักฐานต่างๆ ทั้งรอยลากศพ รอยเลือดที่ขั้นบันได และภาพจากกล้องวงจรปิด คดีนี้ถ้าเรารีบทำไปศพเด็กก็ยังไม่ได้เผาเขาก็จะเสียใจกันมากยิ่งขึ้น เราถึงคอยให้มีการเผาศพก่อนถึงนำตัวยายมาสอบสวนทราบว่า หลังจากหลานทะเลาะกับยายแล้วหลานก็นอนคว่ำหน้าดูทีวีอยู่ ยายก็ฉวยโอกาสใช้ไม้ตีเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง 1 ที ซึ่งบาดแผลก็ตรงกับผลพิสูจน์ของแพทย์ และได้หลักฐานไม้ที่ใช้ตีศีรษะ ยืนยันว่า ยายเป็นผู้ต้องหาจริงๆ แม่ของเด็กก็เสียใจหลังจากทราบเรื่องพนักงานสอบสวนจะต้องสอบปากคำแม่ของเด็กเพิ่มเติม
ถามว่าข้อพิรุธที่พบก่อนจับกุมยายมีอะไรบ้างพล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า มีภาพวงจรปิด คำให้การของยาย หลักฐานในที่เกิดเหตุ และพยานคนที่พักอยู่ที่เกิดเหตุ แต่ที่ยังไม่ได้ดำเนินการจับกุมยายเพราะติดเรื่องงานศพอยู่ ถามว่า ต้องส่งแพทย์ตรวจอาการทางสภาพจิตหรือไม่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า น่าจะต้องส่งตรวจเพราะผู้ต้องหาเคยก่อเหตุยิงสามีตายเมื่อปี 36 ท้องที่สน.บางนา หลังก่อเหตุติดคุกอยู่ 12 วัน จากนั้นประกันตัวออกมาสู้คดีแล้วก็หลุดคดีกระทั่งมาก่อเหตุฆ่าหลานตัวเองอีก ยายอ้างว่าหลานเคยทำร้ายร่างกายก็ไม่ทราบว่าเป็นข้อกล่าวอ้างหรือไม่ เพราะไม่มีใครเห็นว่ามีการทำร้ายร่างกายกัน
ถามว่า นำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าวนั้นจะเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก หรือไม่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ตอบว่า การนำเสนอข่าวจึงให้มีการปิดหน้า และให้ผู้ต้องหาพูดตามที่เขาต้องการจะพูด ผู้ต้องหาเองก็ยินยอมเต็มใจอยากจะพูดกับสื่อมวลชนและอยากอธิบายให้เข้าใจโดยผู้ต้องหาก็จะไม่พูดถึงหลานในทางเสียหายและไม่เป็นการซ้ำเติมหลาน รวมทั้งจะไม่นำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ดำเนินคดี โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะทำแผนกระกอบคำรับสารภาพ เองจากเป็นคดีเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว
