
พท.เฮ..แต่มึน ศาลชี้ไม่ยุบ-ทิ้งปมรธน.อื้อ
รื้อทั้งฉบับ-ทำไม่ได้ แนะแก้ไขรายมาตรา พรรคร่วมนัด16กค. ผ่าทางตัน-คำวินิจฉัย นปช.ดันโหวตวาระ3
![]() เฮลั่น - คนเสื้อแดงที่รวมตัวกันที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว กระโดดเฮลั่น หลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยยกคำร้องคัดค้านการแก้ไขรธน. ส่วน แกนนำนปช.เปิดแถลงเรียกร้องรัฐสภาเดินหน้าลงมติวาระ 3 ทันที เมื่อ 13 ก.ค. |
นายกฯขับเคลื่อนปราบยาเสพติด
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 13 ก.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.) เพื่อติดตามผลการขับเคลื่อนงานด้านเสพติด เมื่อขบวนรถนายกฯ มาถึงมีผู้หญิงสูงวัย 2 คน สวมเสื้อยืดสกรีนคำว่า "องครักษ์พิทักษ์ นายกฯ" พากันวิ่งเข้าหานายกฯ พร้อมมอบโหลดาวกระดาษ ซึ่งมีรูปพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรูปของน.ส.ยิ่งลักษณ์ติดที่ข้างโหล เพื่อเป็นกำลังใจ
ขณะเดียวกัน ด้านหน้าทางเข้าป.ป.ส. มีกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างโบกธงแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ต้อนรับ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
เมื่อเวลา 13.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ด้วยมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนเดินทางไปกัมพูชา เมื่อถามว่ายิ้มแย้มแจ่มใสแบบนี้ แสดงว่ามีสัญญาณดีจากศาลรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบ เมื่อถามว่ารัฐบาลพร้อมรับคำตัดสินไม่ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาแบบใดใช่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ต้องดูก่อนว่าผลการตัดสินจะออกมาอย่างไร เราต้องรอฟังก่อนคงยังไม่ตัดสินใจอะไร ต้องรอผลและศึกษาข้อกฎหมายก่อนว่าเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่าพะว้าพะวังหรือไม่ระหว่างการพิจารณาตัดสินของศาล แต่ต้องไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ นายกฯ กล่าวว่า ทุกอย่างเราต้องทำหน้าที่ ส่วนจะทำหน้าที่ที่ไหนก็ต้องทำให้เต็มที่ และวันเดียวกันนี้มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ คอยดูแลสถานการณ์อยู่แล้ว เชื่อว่าถ้ามีอะไรก็ติดต่อกันได้ แต่คิดว่าคงไม่มีอะไร เชื่อว่าทุกคนคงจะฟังด้วยความสงบ
เมื่อถามว่าหลังจากกลับกัมพูชาแล้ว จะมาร่วมฉลองกับสมาชิกที่พรรคเพื่อไทยหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า กว่าจะเสร็จภารกิจที่กัมพูชากลับมาก็มืดและดึกแล้ว
เหลิมฟันธงศาลรธน.ยกคำร้อง
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า นายกฯ กำชับให้ตนดูแลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งทุกอย่างก็เรียบร้อยดี เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะให้ความเป็นธรรม และขอฟันธงว่าศาลรัฐธรรมนูญจะยกคำร้องแน่นอน เพราะไม่เข้าข่ายล้มล้างระบบการป้องปกครอง มั่นใจว่าหลังตัดสินเสร็จสิ้นจะไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ ตนสั่งกำชับผบช.น. และรองผบช.น. ให้ดูแลสถานการณ์ความสงบเรียบร้อย เชื่อว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
เมื่อถามว่าหากทุกอย่างเป็นไปตามที่วิเคราะห์ รัฐบาลจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทันทีใช่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า อยู่ที่นายกฯ และมติครม. ให้เป็นไปตามขั้นตอน เมื่อถามว่าโหรหลายคนวิเคราะห์ตามดวงดาวว่าบ้านเมืองจะวุ่นวาย ร.ต.อ. เฉลิมกล่าวว่า วันที่ 13 ก.ค. เป็นวันดี วันตำรวจ โปลิศเดย์ พวกหมอดูถ้าเก่งจริงไม่เป็นหมอดู ตนไม่เคยดูดวง มีแต่หัวใจ เคารพพระ ไหว้พระ ต้องแขวนพระไม่ว่าจะไปไหน
ผบ.สส.ย้อนสื่อมีวินัยหรือเปล่า
ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวถึงข้อกังวลเรื่องม็อบอาจชุมนุมยืดเยื้อหากผลการตัดสินไม่เป็นที่พอใจว่า ขณะนี้ไม่น่าห่วง สถานการณ์เรียบร้อยดี ผู้ชุมนุมมีไม่มาก อีกทั้งตำรวจเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ทหารดูอยู่ห่างๆ ถือเป็นสิ่งที่ดี ทหารอย่าให้มายุ่งเลย เรื่องปฏิวัติอย่าไปถามมาก ถามทุกวันน่าเบื่อ ด้านพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. กล่าวว่า ทุกอย่างต้องว่าตามระบบ มั่นใจว่าทุกคนคิดดี ทำดีและอยากให้บ้านเมืองไปได้ดี เราต้องก้าวไปข้างหน้า เหมือนพายเรือ ถ้าต่างคนต่างพาย เรือก็ไม่ไปไหน เชื่อว่าตำรวจมีประสิทธิภาพรองรับสถานการณ์อยู่แล้ว เมื่อถามว่ายืนยันหรือไม่ว่าทหารไม่ปฏิวัติหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น พล.อ.ธนะศักดิ์ ย้อนถามว่าแล้วสื่อมีระเบียบวินัยหรือไม่ ถ้าหากสื่อมีวินัย ทหารก็คงไม่ต้องตอบ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า เราปฏิบัติตามหน้าที่อยู่แล้ว ขณะนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าทหารอยู่ในกรอบวินัยและมีความเป็นหนึ่งเดียว ปฏิบัติหน้าที่ที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามคำสั่งของรัฐบาล เรามีหน้าที่พิทักษ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ทำงานในหน้าที่ให้ชัดเจน ทหารไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เราทำคู่ขนานมาตลอด
แกนนำนปช.จับตาคำวินิจฉัย
ที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ตั้งแต่ช่วงสาย มวลชนกลุ่มแนวร่วมประชา ธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทยอยมารอฟังการแถลงข่าวของแกนนำ และปักหลักรอฟังคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางการดูแลความเรียบร้อยของเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบ
เวลา 11.00 น. นางธิดา โตจิราการ ประธานนปช. ให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่นปช.จะรอดูคือจะเกิดความเสียหายกับประเทศชาติขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นกับประเทศชาติ นปช.จะไม่มีการเคลื่อนไหวที่รุนแรง แต่หากมีความเสียหายเกิดขึ้น นปช.จะมีมาตรการดำเนินการขั้นต่อไป ซึ่งความรุนแรงไม่ได้เกิดจากเรา ที่ผ่านมาเราถูกกระทำมาตลอด เราไม่ไปศาลรัฐ ธรรมนูญ เพราะกลัวถูกใส่ร้ายป้ายสี ต้องไปดูเองว่าใครเป็นผู้กระทำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำนปช.ทยอยเดินทางมาถึงศูนย์ประสานงานนปช.ตั้งแต่เช้า เพื่อร่วมประชุม อาทิ นางธิดา นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ นายสมหวัง อัศราศี นายอารี ไกรนรา นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ใช้เวลาหารือกันกว่า 2 ชั่วโมง โดยมีคนเสื้อแดงกว่า 500 คน มาร่วมรอฟังคำวินิจฉัยของศาล ทั้งนี้ บริเวณทางเข้าห้างและทางเข้าลานจอดรถทุกชั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอาสาและการ์ดนปช.ตั้งจุดตรวจรถ ยนต์และจักรยานยนต์ทุกคันที่เข้ามาในตัวอาคาร พร้อมทั้งตรวจกระเป๋าสะพายทุกคน เพื่อป้องกันเหตุร้าย
ธิดาย้ำเดินหน้าถอดถอนตุลาการ
เมื่อเวลา 13.00 น. นางธิดาแถลงภายหลังการประชุมว่า ท่าทีและจุดยืนของเราคือไม่เห็นด้วยกับที่ตุลาการรับคำร้องโดยไม่ผ่านอัยการสูงสุด เราหวังว่าคำวินิจฉัยจะยกคำร้อง และระยะยาวควรมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นของประชาชนที่แท้จริง จุดยืนของเราจะยังลบล้างผลพวงรัฐประหารอยู่ทั้งหมด คือ ความชอบธรรมและเรายืนยันจะถอดถอนตุลาการชุดนี้ จึงขอให้ประชาชนยื่นแบบฟอร์มถอดถอนมาถึงนปช. ทั้งนี้ไม่ว่าคำวินิจฉัยจะเป็นบวกหรือลบ ขอให้ทุกคนนิ่งและปรึกษาหารือในแต่ละพื้นที่ ขอให้ขับเคลื่อนอย่างเป็นเอกภาพและมี วุฒิภาวะอย่างสูง มีวินัย ทำด้วยการพึงระลึกว่าการเคลื่อนไหว ต้องมีความรับผิดชอบ และสามัคคี มีเหตุผลที่ประชาชนทั้งประเทศเข้าใจ ที่สำคัญเป็นการต่อสู้เพื่อประเทศชาติไม่ใช่เพื่อใคร
นางธิดากล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่เคลื่อนไหวที่ศาลรัฐธรรมนูญโดยเรียกตัวเองว่าผรท. (ผู้ร่วม พัฒนาชาติไทย) นั้น แท้จริงแล้วผรท.ส่วนใหญ่เป็นคนเสื้อแดงตัวจริง ซึ่งอยู่ภาคอีสาน ส่วนที่อยู่ที่ศาลนั้นผรท.เป็นส่วนหนึ่งซึ่งมีทั้งตัวจริงและปลอม
ลานพระบรมรูปถ่ายทอดเสียงนปช.
ด้านนายจตุพรกล่าวว่า ไม่ว่าคำวินิฉัยจะเป็นอย่างไร จะเป็นบวกหรือลบ ขอคนเสื้อแดงอย่าไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนหลากสี ขอให้คนเสื้อแดงฟังการแถลงข่าวจากแกนนำ
"ยืนยันว่าเราไม่ไปศาลรัฐธรรมนูญและไม่ต้องมีแบล็กฮอว์กไปส่ง เดี๋ยวคนขับขับผิดไปแก่งกระจานแล้วจะยุ่ง ดังนั้นจะไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้ตุลาการวินิจฉัยได้เต็มที่ แต่ขอให้รู้ว่าพวกผมไม่ยอมรับอำนาจของศาลมาตั้งแต่ต้น เพราะอัยการสูงสุดแถลงแล้วว่าไม่ส่งเรื่องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มันต้องจบลงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว" นายจตุพรกล่าว
เมื่อเวลา 12.00 น. ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า กลุ่มเครือข่ายวิทยุชุมชนปกป้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมที่ปักหลักชุมนุมตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. เปิดเวทีปราศรัยโดยมีมวลชนทยอยมาสมทบ ขณะเดียวกันมีการถ่ายทอดเสียงจากเวทีที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว มายังลานพระบรมรูปด้วย
พล.ต.ต.พชร บุญญสิทธิ์ ผบก.น.1 กล่าวถึงการดูแลความเรียบร้อยพื้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้าว่า เบื้องต้นใช้กำลัง 1 กองร้อย ขณะนี้ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ได้สั่งการให้ตำรวจดูแลและรักษาความปลอดภัยกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมให้ฝ่ายสืบสวนบันทึกเทปและคำปราศรัยว่ามีสิ่งใดผิดกฎหมายหรือไม่ เพื่อเป็นหลักฐานดำเนินคดีภายหลัง
มาร์คซัดพท.-เสื้อแดงปลุกม็อบ
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาศักย ภาพคณะกรรมการสาขาพรรค เจ้าหน้าที่สาขาพรรคและคณะทำงานในพื้นที่ภาคใต้ที่ จ.สงขลา ว่า อยากให้ทุกฝ่ายเคารพการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ อย่าก่อความวุ่นวาย บ้านเมืองจะได้เดินไปข้างหน้า เพราะไม่ว่าคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร ก็มีทางออกสำหรับทุกฝ่ายอยู่แล้ว เข้าใจว่าพรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงพยายามรวมคนโดยอาศัยเงื่อนไขรัฐประหาร ซึ่งการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญไม่เกี่ยวกับการรัฐประหาร แต่รัฐประหารจะเกิดขึ้นจากการสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง
"ผมถามย้ำไปที่นายกฯ กับรัฐมนตรีที่รับผิดชอบว่าจะดำเนินการอย่างไรกับนายก่อแก้ว (พิกุลทอง) ที่ยุยงให้คนทำผิดกฎหมาย หรือเป็นส.ส.ในฝ่ายรัฐบาลแล้วทำผิดกฎหมายได้ ยุยงให้คนทำผิดกฎหมายได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะเกิดสองมาตรฐาน สิ่งที่นายก่อแก้วพูดส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ ขอย้ำว่าเงื่อนไขความวุ่นวายทั้งหมดรัฐบาลเป็นผู้สร้าง จึงขอให้รัฐบาลหยุดโดยยึดประโยชน์ประเทศเป็นหลัก" นายอภิสิทธิ์กล่าว
![]() ม้วนเสื่อ - กลุ่มกองทัพปลดแอกประชา ชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปักหลักชุมนุมสนับสนุนศาลรธน. เก็บข้าวของกลับภูมิลำเนา หลังศาลมีคำสั่งยกคำร้อง ชี้ว่าการแก้ไขรธน.ไม่เข้าข่ายล้มล้างระบอบการปกครอง เมื่อวันที่ 13 ก.ค. |
ส่วนที่นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เตือนอาจเกิดมิคสัญญี เพราะมีการสร้างความเกลียดชัง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลอยู่บนการกระตุ้นความเกลียดชังเพื่อให้เกิดความแน่นแฟ้นในแง่การสนับสนุนตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งหลายประเทศที่ใช้วิธีนี้ไม่มีอะไรยั่งยืนแต่นำไปสู่จุดจบ ความวุ่นวาย ความแตก แยกและความล่มสลาย ขอให้รัฐบาลหยุดได้แล้ว
ที่พรรคประชาธิปัตย์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.บางซื่อ 5 นาย พร้อมรถสายตรวจได้ตั้งจุดรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณด้านหน้าทางเข้าพรรคประชาธิปัตย์ ถ.เศรษฐศิริ ซึ่งบรรยากาศเป็นปกติ ขณะที่แกนนำพรรคหลายคนไม่ได้เข้าพรรค เนื่องจากติดภารกิจลงพื้นที่ เช่น นายอภิสิทธิ์เดินทางไปบรรยายพิเศษโครงการพัฒนาศักยภาพคณะกรรมการสาขาพรรคที่ จ.สงขลา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส. สุราษฎร์ธานี ไปช่วยหาเสียงนายกอบจ. ที่ จ.ชุมพร
ปชป.จ้องก่อแก้ว-ยื่นถอนประกัน
เมื่อเวลา 15.00 น. ที่รัฐสภา นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า วันที่ 13 ก.ค.นี้ ตนจะไปที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก เพื่อยื่นหนังสือถึงอธิบดีศาลอาญา ขอให้พิจารณาถอนการประกันตัวชั่วคราวนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หลังจากวันที่ 11 ก.ค. นายก่อแก้วแถลงข่าวมีลักษณะข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นพฤติ กรรมก้าวร้าวและส่อใช้ความรุนแรงทำให้ประชาชน ตื่นตระหนก เป็นอันตรายต่อความสงบเรียบร้อยและหากนายก่อแก้วได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวต่อไป สังคมอาจไม่เป็นปกติสุข จึงขอเรียกร้องให้อธิบดีศาลอาญายกเลิกคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวและนำตัวมาควบคุมไว้ระหว่างพิจารณา และเรียกนายก่อแก้วเข้ามาพิจารณาก่อนวันที่ 1 ส.ค. ที่จะเปิดสมัยประชุมสภาสามัญทั่วไป ไม่เช่นนั้นนายก่อแก้วได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองตามมาตรา 131 ของรัฐธรรมนูญ
"หากศาลอาญาเรียกนายก่อแก้วเข้ามาก่อนวันที่ 1 ส.ค. และยกเลิกคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว จะทำให้แกนนำนปช.ผู้นี้ต้องติดคุกทันที เมื่อถึงกำหนดการเปิดประชุมสภา ต้องทำเรื่องมายังประธานสภาเพื่อขอกลับมาทำหน้าที่ ส่วนจะได้รับการปล่อยตัวหรือไม่อยู่ที่เสียงของสมาชิกสภา" นายนิพิฏฐ์กล่าว
ตุลาการทั้ง 9 มากันพร้อมหน้า
เวลา 08.30 น. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน เดินทางมาถึงสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิบัติหน้าที่การประชุมลงมติและอ่านคำวินิจฉัย โดยตุลาการแต่ละคนมีสีหน้าเรียบเฉย และไม่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการลงมติกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ว่าเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 68 หรือไม่ โดยตุลาการทั้ง 9 คน จะเข้าประชุมเพื่อพิจารณาในวาระอื่นอีก 3 วาระก่อนในเวลา 09.30 น. หลังจากนั้น นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการจะออกจากห้องประชุม เนื่องจากได้ถอนตัวออกจากองค์คณะไปก่อนหน้านี้แล้ว ตุลาการทั้ง 8 คน ที่เหลือจะได้แถลงอภิปรายด้วยวาจา เพื่อลงมติให้ได้เสียงข้างมากในการจัดทำคำวินิจฉัยกลาง และออกนั่งบัลลังก์ในเวลา 14.00 น.
มีรายงานว่านายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้มาถึงตั้งแต่เวลา 06.30 น. ทั้งนี้ คนใกล้ชิดเปิดเผยว่า บรรดาตุลาการไม่ได้เครียดกับการปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้แต่อย่างใด
เลขาฯเผยศาลทำหน้าที่เพื่อชาติ
นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ยืนยันว่าตุลาการทุกคนจะทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก เชื่อว่าจะไม่มีฝ่ายใดนำผลการวินิจฉัยมาเป็นเงื่อนไขให้เกิดปัญหาในบ้านเมือง เพราะข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญจะหาข้อยุติด้วยสันติวิธี ไม่เกิดปัญหาสั่นคลอนต่อบ้านเมือง ดังนั้น หากสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการตามกระบวนการครบถ้วนแล้ว แต่หากยังเกิดปัญหาอยู่ก็เป็นผลที่เกิดจากฝ่ายต่างๆ อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญเข้าใจกลุ่มต่างๆ ที่ออกมาแสดงท่าทีคัดค้านคำวินิจฉัย เพราะผลอาจไม่เป็นไปตามที่ตนเองคาดหวัง แต่เชื่อว่าคงจะไม่เกิดเหตุรุนแรงตามมา
นายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ โฆษกศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ไม่กังวลว่าจะเกิดปัญหาความวุ่นวายหลังจากศาลมีคำวินิจฉัย เพราะมีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องคอยประเมินสถานการณ์และเตรียมมาตรการรองรับ ส่วนกระแสข่าวความเป็นไปได้ต่อมติคำวินิจฉัย 4 ต่อ 4 นั้นถือว่าไม่มีความเป็นไปได้ เพราะตุลาการจะต้องหาข้อยุติในที่ประชุมเพื่อให้ได้มติเสียงข้างมาก
ม็อบหนุนตุลาการพรึบ 500 คน
พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รอง ผบช.น. ซึ่งดูแลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า อาคารศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ได้วางกำลังดูแลรักษาความปลอดภัยรอบอาคารทั้งสิ้น 650 นาย โดยสลับสับเปลี่ยนกำลังกันตลอด รวมถึงตรวจค้นป้องกันมือที่ 3 อย่างเข้มงวด
พล.ต.ต.สำเริง สุวรรณพงษ์ ผบก.น.2 กล่าวถึงการดูแลบ้านพักของตุลาการในพื้นที่บก.น.2 ซึ่งมี 3 หลัง โดยในพื้นที่สน.บางซื่อ 1 หลัง และสน.สุทธิสาร 2 หลัง ได้สั่งการตรวจตราอย่างเข้มงวดทุก 1 ชั่วโมง ซึ่งทุกพื้นที่ที่มีบ้านพักของตุลาการฯ จะดูแลความปลอดภัย อย่างเข้มงวดเช่นกัน
เวลา 08.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณลานสนามหญ้าหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ อาคารเอ ฝั่งทิศเหนือ ถ.แจ้งวัฒนะ กลุ่มกองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังคงปักหลักชุมนุมให้กำลังใจตุลาการมาตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 12 ก.ค. และในช่วงเช้าเริ่มมีกลุ่มพันธมิตร กลุ่มคนเสื้อหลากสีและสมาพันธ์เกษตรกรไทย มาร่วมชุมนุมอย่างต่อเนื่องประมาณ 500 คน โดยสลับกันขึ้นปราศรัยบนรถติดเครื่องขยายเสียง เนื้อหาให้กำลังใจตุลาการฯ และโจมตีรัฐบาล พร้อมยืนยัน ไม่ว่าการตัดสินจะเป็นอย่างไรจะเคารพคำตัดสินของศาล
เวลา 09.30 น. มีหญิงวัยกลางคนสวมเสื้อสีเขียว ทราบชื่อภายหลังคือ นางฐิตินันทน์ แก้วจันทรานนท์ อายุ 63 ปี ชาวกทม. มายืนตะโกนโจมตีนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนศาลรัฐธรรม นูญที่ชุมนุมอยู่ด้านหน้า ไม่พอใจจนกรูจะเข้าไปทำร้าย แต่ตำรวจได้กันตัวผู้หญิงคนดังกล่าวออกไปก่อนเกิดเหตุวุ่นวายขึ้น
"หมอตุลย์"โผล่ให้ดอกไม้ตลก.
เวลา 13.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ร้องและ ผู้ถูกร้อง ทยอยมาร่วมรับฟังคำวินิจฉัยปิดคดีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้ถูกร้อง กล่าวว่า ในกรณีศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายกคำร้อง ยืนยันว่ารัฐสภาจะไม่มีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อลงมติในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 และขณะนี้ครม.ทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมสภาสมัยสามัญ ทั่วไปในวันที่ 1 ส.ค. แล้ว
นายวรินทร์ เทียมจรัส อดีตส.ว.สรรหา ในฐานะผู้ร้อง กล่าวถึงส.ส.พรรคเพื่อไทยยื่นฟ้องคดีกับตุลาการศาลฯว่า เป็นสิทธิ์ที่ทำได้ แต่โดยหลักการของกฎหมาย การตอบโต้ศาลในลักษณะ ดังกล่าวเท่ากับใช้กลไกทางการเมืองและเสียงข้างมากมามีอำนาจเหนือศาล
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี นำประชาชน 20 คน มามอบดอกไม้ให้กำลังใจตุลาการผ่านตัวแทนศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมทั้งให้กำลังใจนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์
ศาลวินิจฉัยยันมีอำนาจรับคำร้อง
เวลา 14.44 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขึ้นบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนายบุญส่ง กุลบุปผา เริ่มอ่านคำวินิจฉัย โดยองค์คณะตุลาการมีความเห็นให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 ไม่เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 68 โดยศาลรัฐธรรมนูญได้แบ่งประเด็นในการวินิจฉัย 4 ประเด็นดังนี้
ประเด็นแรก ศาลมีอำนาจรับคำร้องโดยตรงหรือไม่ ศาลเห็นว่ามาตรา 68 วรรคสอง ให้สิทธิ ผู้ทราบการกระทำมีสิทธิเสนออัยการสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญ โดยอัยการสูงสุดมีสิทธิเพียงตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นต่อศาล แต่ไม่ตัดสิทธิยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลมีอำนาจรับคำร้องโดยตรงตามมาตรา 68 โดยไม่ผ่านอัยการสูงสุดได้ เพราะอำนาจวินิจฉัยการกระทำผิดหรือพิทักษ์รัฐธรรม นูญเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ มีอำนาจวินิจฉัยคำร้อง เพื่อสั่งการมิให้กระทำการล้มล้างรัฐธรรม นูญ เพราะหากปล่อยก็พ้นวิสัยแก้ไขได้
กรณีอัยการสูงสุดรับแล้วแต่ยังไม่มีคำสั่งแต่หากปล่อยให้ลงมติวาระ 3 ล่วงไปแล้ว แต่หากต่อมาอัยการสูงสุดส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและเห็นว่ากระบวนการนั้นไม่ชอบให้ยกเลิก ก็ไม่สามารถบังคับได้ หรือไม่อาจย้อนคืนแก้ไขผลที่เกิดขึ้นในการกระทำดังกล่าวได้ ศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐ ธรรมนูญ 68 วรรรค 2
ห้ามแก้ทั้งฉบับ-ไม่ยุบพรรค
ประเด็นที่ 2 การแก้ไขรธน.ทั้งฉบับทำได้หรือไม่ ศาลเห็นว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ได้ผ่านการลงประชามติจากประชาชน จึงต้องให้ประชาชนเห็นชอบก่อนการแก้มาตรา 291 แม้เป็นอำนาจของรัฐสภา แต่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชนที่ลงประชามติ แต่หากรัฐสภาจะไปแก้เป็นรายมาตราสามารถทำได้ จึงควรให้ประชาชนลงมติก่อนจะแก้หรือแก้รายมาตรา ไม่ใช่การแก้ทั้งฉบับ
ต่อมานายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการ อ่านคำวินิจฉัยในประเด็นที่ 3 ข้ออ้างของผู้ร้องไม่เข้า ข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้องจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยผู้ถูกร้องแสดงเจตคติตั้งมั่นจะดำรงคำร้องตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ข้อเท็จจริงยังไม่พอวินิจฉัยได้ว่าการกระทำผู้ร้องทั้งหมดเป็นการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตย ข้ออ้างทั้งหมดจึงฟังไม่ขึ้น ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงการคาดการณ์ และยังห่างไกลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามอ้างข้อเท็จจริง
นายนุรักษ์กล่าวว่า ดังนั้น การกระทำของ ผู้ถูกร้องฟังไม่ได้ว่ามีเจตนาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลให้ยกคำร้องส่วนนี้ และเมื่อไม่มีประเด็นวินิจฉัยส่วนนี้ต่อไป ศาลไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นที่ 4 เป็นเหตุให้ยุบพรรคตามรัฐธรรมนูญหรือไม่จึงพิจารณาให้ยกคำร้องของ ผู้ร้องทั้ง 5 นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีคำสั่งให้ยกคำร้องของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ร้องในลักษณะเดียวกัน แล้วแจ้งให้พล.ต.จำลอง ทราบ (อ่านรายละเอียดน.3)
![]() ชื่นมื่น - น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบปะกับนางฮิลลารี คลินตัน รมว. ต่างประเทศสหรัฐ ก่อนงานเลี้ยงอาหารค่ำนักธุรกิจอเมริกันที่ร่วมประชุมในเวทีอาเซียน ณ เมืองเสียมราฐ กัมพูชา เมื่อ 13 ก.ค. |
เผยมติเอกฉันท์ 8 เสียงยกคำร้อง
เวลา 15.15 น. คณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ นำโดยนายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวทีมโฆษก นายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ และนายกมล โสตถิโภคา ร่วมแถลงข่าวภายหลังองค์คณะตุลาการอ่านคำวินิจฉัยว่า ประเด็นศาลมีอำนาจรับคำร้องเป็นมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 ส่วนประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ที่เป็นการแก้ไขเพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และประเด็นการแก้เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ รวมถึงหากพบว่ามีการกระทำเป็นเหตุให้ต้องวินิจฉัยยุบพรรคหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ 8 เสียงว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจของรัฐสภา และยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นการกระทำที่ เข้าข่ายการล้มล้างการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 จึงไม่มีเหตุต้องให้วินิจฉัยเรื่องยุบพรรค และมีมติให้ยกคำร้อง
นายสมฤทธิ์กล่าวถึงคำวินิจฉัยครั้งนี้จะมีผล อย่างไรต่อการแก้รัฐธรรมนูญว่า ประเด็นหลักที่ร้องว่ามีการกระทำที่ล้มล้างการปกครอง ศาลมีมติยกคำร้อง เพราะเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา เพียงแต่ศาลมีข้อเสนอแนะว่าเมื่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาจากการสถาปนาของประชาชน การแก้ไขจึงสมควรให้ประชาชนลงประชามติว่าสมควรให้แก้ไขปรับปรุงหรือไม่ หรือหากจะแก้ไขเป็นรายมาตราก็เป็นความเหมาะสมที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 แต่รัฐสภาการจะดำเนินการอย่างไรถือเป็นดุลพินิจ จะเดินหน้าลงมติในวาระ 3 ก็ได้ แต่ประธานรัฐสภาและรัฐสภาต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่จะดำเนินการต่อไป
ย้ำศาลเปิดช่องให้ยื่นร้องใหม่ได้
เมื่อถามว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร แต่การมีข้อเสนอแนะในคดีนี้เท่ากับว่าศาลเป็นเพียงเสือกระดาษหรือไม่ นายพิมลกล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลมีผลผูกพันกับทุกองค์กรตามมาตรา 216 แต่เรื่องนี้คือศาลมีอำนาจวินิจฉัยตามมาตรา 68 เท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจพิจารณาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรม นูญ เพราะมาตรา 291 เป็นอำนาจของรัฐสภา เมื่อมีคำวินิจฉัยศาลก็ต้องจำกัดอำนาจตัวเองให้อยู่ในกรอบกฎหมาย จะไปก้าวล่วงอำนาจองค์กรอื่นไม่ได้ ศาลมีอำนาจแค่ไหนต้องทำแค่นั้น ดูจากเนื้อหาคำวินิจฉัยจะพบว่าหากต่อไปมีผู้ทราบการกระทำที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง สามารถยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้ทุกเวลาและทุกขั้นตอน แต่ต้องมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจน
นายพิมลกล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะตุลาการ ยังมีมติยกคำร้องกรณีพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตร ร้องขอชะลอการพิจารณาคดีนี้ออกไปก่อน ศาลเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรที่จะให้ชะลอ รวมทั้งยังมีมติไม่รับคำร้องกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว.สรรหา ขอให้ศาลรัฐ ธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 กรณีพรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภาจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และกรณีการดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของนายชัช ชลวร และการดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญของนายวสันต์ เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่การกระทำเป็นการล้มล้างการปกครองตามมาตรา 68
เผยถกนาน 5 ชั่วโมงก่อนวินิจฉัย
รายงานข่าวเผยว่า การประชุมตุลาการเพื่อแถลงคำวินิจฉัยส่วนตนและลงมติ เพื่อทำคำวินิจฉัยกลาง ก่อนจะออกนั่งบัลลังก์เพื่อนัดอ่านคำวินิจฉัยนั้น ใช้เวลาประชุมกว่า 5 ชั่วโมง โดยเฉพาะช่วงของการแถลงด้วยวาจาเพื่อลงมติถึง 2 ชั่วโมง เนื่องจากตุลาการแต่ละคนอภิปรายอย่างกว้างขวางถึงแนวทางการพิจารณาคำร้อง ต่างเห็นว่าเป็นประเด็นที่สำคัญ การลงมติจึงต้องรอบคอบ ทั้งนี้บรรยากาศการประชุมราบรื่น ตุลาการทุกคนไม่ได้กังวลหรือเคร่งเครียด
รายงานข่าวระบุว่า กรณีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 ที่เห็นว่าผู้ร้องมีอำนาจฟ้องคดีตามมาตรา 68 และศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคดีนี้ไว้พิจารณานั้น เสียงข้างน้อย 1 เสียงที่เห็นว่าศาลไม่มีอำนาจรับคำร้องคือ นายชัช ชลวร โดยก่อนหน้านี้นายชัชเป็น 1 เสียงข้างน้อยที่เห็นว่าศาลไม่มีอำนาจรับ 5 คำร้องไว้พิจารณาตั้งแต่ต้น
ปชป.พอใจ-ชี้แก้รธน.ตกแล้ว
ภายหลังเสร็จสิ้นการวินิจฉัย นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ร้อง กล่าวว่า พอใจคำตัดสิน 100% เพราะหลังจากนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่ากับต้องเริ่มต้นใหม่ ไม่สามารถลงมติในวาระ 3 ต่อได้หากทำเช่นนั้นคงต้องติดคุก จากนี้หากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจะต้องถามประชาชนด้วยการทำประชามติก่อน หรือหากแก้ไขเป็นรายมาตรา จะต้องเสนอเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งเป็นการพิจารณาโดย ส.ส. และส.ว. เท่านั้น ไม่ใช่ ส.ส.ร. หากมีการเสนอขอแก้ไขรายมาตรา พรรรคจะพิจารณาตามผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ประเด็นที่ดีก็จะสนับสนุน และหากยังคงต้องการแก้ไขทั้งฉบับโดยผ่านการทำประชามติของประชาชนแล้วเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยพรรคก็ยอมรับได้
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสีกล่าวว่า ตุลาการตัดสินได้ถูกต้องแล้ว เพราะไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้ จากนี้กลุ่มจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จะรอว่าสภาจะมีแนว ทางการแก้ไขอย่างไรต่อไปรวมถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง
ปธ.วิปรบ.ชี้แก้แต่ต้องประชามติ
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล ในฐานะผู้ถูกร้อง กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังคงต้องเดินหน้าต่อ แต่จะเป็นการแก้ไขเพียงบางประเด็นเท่านั้น ส่วนร่างแก้ไขวาระ 3 ที่ค้างอยู่ในระเบียบวาระถือว่าเป็นอันตกไปตามวินิจฉัยของศาล และหมายความว่ากระบวนการเกิดของส.ส.ร.จะไม่เกิดขึ้น ส่วนแนวทางการเดินหน้าจะเรียกประชุมส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล เพื่อหารือถึงทิศทางและกำหนดกรอบแก้ไข
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยระบุมีการแก้ไขเพียงมาตราเดียวคือ มาตรา 291 ไม่ได้ทำทั้งฉบับ จึงไม่ต้องผ่านการทำประชามติ นายอุดมเดชกล่าวว่า ตามหลักการเป็นเช่นนั้นแต่ขณะนี้ตุลาการพิจารณาแล้วว่าไม่สามารถทำได้ จึงมีแค่ทางเลือกเดียว คือ การเสนอญัตติขอแก้ไขเป็นรายมาตราเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภา โดยใช้เสียง 1 ใน 5 หรือ 100 คนเสนอญัตติ การเสนอญัตติขอแก้ไขทุกพรรคสามารถยื่นเสนอญัตติได้
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่จะนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ไปทำประชามติจากประชาชน นายอุดมเดชกล่าวว่า ไม่มีช่องทาง ดังกล่าวอย่างแน่นอน เนื่องจากตุลาการชี้ชัดแล้วว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ซึ่งเพิ่มหมวดให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่สามารถทำได้ แต่หากจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องผ่านการลงประชามติจากประชาชนก่อนเท่านั้น
นายอุดมเดชกล่าวว่า ขณะนี้อำนาจตุลาการได้ขยายขอบข่ายอำนาจเข้ามาครอบงำอำนาจฝ่ายนิติ บัญญัติแล้ว ส่วนหลังจากนี้ไปจะเกิดปัญหาระหว่างอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่ตราบใดที่แต่ละฝ่ายทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่มีการแทรกแซง ก็จะไม่เกิดปัญหา
นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคชาติไทยพัฒนา ผู้ถูกร้องที่ 6 กล่าวว่าแนวทางการวินิจฉัยก็เป็นที่น่าพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย และจะไม่นำไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรง คาดว่าจะเบาลงไป การแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังจากนี้จะเดินหน้าโดยการแก้ไขรายมาตราตามที่ศาลให้แนวทาง หรือการทำประชามตินั้นเป็นเรื่องอนาคต ต้องไปหารือกับพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนการลงมติในวาระ 3 ก็ต้องยุติไว้ก่อน
ขุนค้อนเกาะติด-ถกทีมกม.สภา
ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เดินทางเข้ามาฟังการอ่านคำวินิจฉัยของศาลอยู่ที่ห้องทำงาน เมื่อศาลวินิจฉัยจบ นายสมศักดิ์จึงหารือกับฝ่ายกฎหมายสภา
เวลา 15.50 น. นายสมศักดิ์ให้สัมภาษณ์ว่ามอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายสภาศึกษารายละเอียดคำวินิจฉัยของศาล เพราะเท่าที่ฟังยังไม่ชัดเจนครอบ คลุม จึงต้องนำคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการแต่ละคนไปศึกษาด้วย และหาข้อสรุปว่ารัฐสภาจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป เมื่อถามว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ยังค้างการลงมติในวาระ 3 จะดำเนินการอย่างไร นายสมศักดิ์กล่าวว่า ยังพอมีเวลา ขอให้ฝ่ายกฎหมายได้ประชุมหารือกันก่อน เพื่อกำหนดทิศทางว่ารัฐสภาจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง ต้องรอฝ่ายกฎหมายสรุปถึงแนวทางดำเนินการก่อน
"ส่วนตัวคิดว่าถ้าศาลชี้ให้ชัดเจนกว่านี้ รัฐ สภาก็จะเดินหน้าได้ง่ายกว่า แต่ชี้เพียงแค่ว่าแก้ไขทั้งฉบับไม่ได้ พูดแค่นี้ยังไม่ชัดพอ น่าจะชี้ไปเลยว่าการลงมติในวาระ 3 ว่าไม่ชอบเลย ถ้าชี้มาเราก็ไม่ต้องไปตีความ ถ้าไม่ชอบก็แปลได้เลยว่าเดินต่อไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคำวินิจฉัยก็โล่งใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องมาตีความคำวินิจฉัยกันอีก" นายสมศักดิ์กล่าว
เมื่อถามว่าหากต้องยึดการแก้ไขรายมาตราจะต้องใช้เวลานานหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ต้องได้ข้อสรุปก่อนว่าฝ่ายกฎหมายเสนอแนวทางอย่างไร โดย 1.จะแก้ไขในร่างกฎหมายเดิมได้หรือไม่ หรือหากจะนำมาปรับปรุงมีกระบวน การปรับปรุงอย่างไร 2. แก้ไขใหม่ทั้งหมดโดยยกเลิกของเก่าทิ้ง โดยการยกร่างใหม่หมดเป็นรายมาตรา และ 3.ยกร่างตามมาตรา 291 เพียงแต่คงหมวด 1 และหมวด 2 ไว้และตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญให้ร่างตั้งแต่หมวด 3 เป็นต้นไป ข้อสรุปต้องได้ก่อนการเปิดสมัยประชุมสภาวันที่ 1 ส.ค.นี้
เมื่อถามว่ามองคำวินิจฉัยของศาลอย่างไร นายสมศักดิ์กล่าวว่า ถือว่าดีในระดับหนึ่งแต่ยังไม่เข้าใจในประเด็นการแก้ไขในรายมาตราว่าหมาย ความว่าอย่างไร ถ้าหากจะแก้ไขโดยไม่ตั้งส.ส.ร. ตนก็ยังไม่เข้าใจว่าจะออกมาในรูปแบบใด
เผยนายกฯทราบมติศาลรธน.แล้ว
เวลา 16.00 น. ที่ประเทศกัมพูชา น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รับทราบผลการวินิจฉัยของศาลแล้ว แต่ขอดูรายละเอียดคำวินิจฉัยก่อนยังไม่ขอแสดงความคิดเห็นอะไรในขณะนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า คนใกล้ชิดนายกฯ เปิด เผยว่า หลังกลับจากกัมพูชา ในเวลา 23.00 น. นายกฯจะให้สัมภาษณ์กับสื่อทั้งกรณีผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและผลการเยือนกัมพูชา
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ขอชื่นชมในความกล้าหาญ ความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ใช่เราชนะแล้วมาพูดแบบนี้ แต่มีความเชื่อมั่นในศาลมาโดยตลอดอยู่แล้วว่าจะให้ความเป็นธรรม
เมื่อถามว่าศาลวินิจฉัยด้วยว่า หากจะเสนอ แก้รัฐธรรมนูญต้องทำประชามติ หรือแก้เป็น รายมาตรา นายยงยุทธกล่าวว่า ไม่มีความเห็นในเรื่องนี้
เหลิมย้ำเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ
เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์หลังฟังคำวินิฉัยของศาลว่า ขอบคุณที่ให้ความเป็นธรรม ไม่ผิดความคาดหมาย แต่ยังเข้าใจไม่ถ่องแท้ว่าสรุปแล้วจะให้ลงมติวาระ 3 ได้หรือไม่ ขออ่านคำวินิจฉัยที่เป็นลายลักษณ์อักษรก่อนแล้วจะวิเคราะห์แนวทางต่อไปได้นั้นเป็นอำนาจนายกฯและครม.จะพิจารณาว่าจะเดินหน้าอย่างไร ส่วนสภาจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เป็นอำนาจหน้าที่ของประธานสภา แต่เมื่อเป็นนโยบายพรรคเพื่อไทยเมื่อครั้งหาเสียง เป็นนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา จึงเป็นไปอย่างอื่นได้ยาก ต้องแก้ไข แต่รูปแบบอาจต้องประยุกต์ เพื่อไม่ให้มีคนไปร้องอีก ประยุกต์อย่างไร ต้องถามนายกฯ
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า จากนี้ไปคนที่เคยกล่าวหาพรรคเพื่อไทยล้มล้างการปกครองน่าจะยุติได้ รัฐบาลนี้มาจากการเลือกตั้ง ในพรรคมีทั้งตำรวจ ทหาร และราชองครักษ์เต็มไปหมด มากล่าวหาว่าไม่จงรักภักดีได้อย่างไร หลังจากนี้สถานการณ์การเมืองจะแผ่ว รอให้สภาเปิดเพื่อที่ฝ่ายค้านจะได้แสดงบทบาท
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ศาลวินิจฉัยออกมาเป็น 5 ประเด็น 1.ศาลมีอำนาจรับคำร้องเองได้โดยไม่ต้องผ่านอัยการสูงสุด 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 ทำไม่ได้แต่ก็ไม่ได้สั่งให้หยุด และถ้าจะแก้ทั้งฉบับต้องไปทำประชามติ หรือแก้ในสภาต้องแก้เป็นรายมาตรา 3.ที่ดำเนินการมาแล้วไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง 4.เมื่อไม่ถือเป็นการล้มล้างการปกครองจึงไม่ยุบพรรค 5.หากบุคคลใดพบเห็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองให้มาร้องใหม่ได้
"เดอะ อ้วน"ย้ำพท.ต้องแก้รธน.
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่พรรคเพื่อไทยว่า ตลอดทั้งวันเป็นไปอย่างเงียบเหงา มีผู้สนับสนุนกลุ่มเล็กๆ และแกนนำพรรคไม่กี่คนมาเกาะติดการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อาทิ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรมว.ยุติธรรม นายภูมิ ธรรม เวชยชัย รักษาการผอ.พรรค นายวราเทพ รัตนากร อดีตรมช.คลัง นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส. ยโสธร ในฐานะฝ่ายกฎหมายพรรค นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม
เวลา 16.30 น. นายภูมิธรรม ให้สัมภาษณ์ว่า การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ น่ายินดีที่ไม่ก่อให้เกิดวิกฤตรุนแรงอย่างที่กังวล แต่ยังมีข้อกฎหมายหลายประเด็นที่ต้องถกเถียง คือศาลมีอำนาจรับคำร้องไปพิจารณาโดยตรงหรือไม่ ซึ่งพรรคได้ต่อสู้ว่าศาลไม่มีอำนาจรับคำร้องและนักกฎหมาย นักวิชาการต่างเห็นพ้องกับพรรค แต่เมื่อศาลมีคำวินิจฉัยเช่นนี้ ต้องรอดูคำวินิจฉัยส่วนตนและส่วนกลางอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งฝ่ายกฎหมายจะนำมาพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ควรเปิดเผยคำวินิจฉัยทั้งสองส่วนต่อสาธารณะ เพื่อเป็นกรณีศึกษาและแนวปฏิบัติในอนาคต
นายภูมิธรรมกล่าวว่า ส่วนที่ศาลวินิจฉัยว่าการแก้ไขมาตรา 291 ไม่ล้มล้างการปกครองนั้นถือว่าน่ายินดี ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย เพราะการแก้รัฐธรรมนูญยังไม่เป็นรูปธรรม เป็นจินตนาการทั้งสิ้น ส่วนจะเดินหน้าลงมติวาระ 3 หรือทำประชา มติก่อนนั้น รัฐสภาจะพิจารณา แต่ยังไม่ชัดเจนเป็นคำสั่งหรือเป็นความเห็นของศาล แต่นับได้ว่าคำวินิจฉัยครั้งนี้มีผลผูกพันทางกฎหมาย ทุกองค์กรต้องรอดูคำวินิจฉัยส่วนตนและคำวินิจฉัยกลางอย่างละเอียดก่อนดำเนินการใดๆ แต่พรรคยังยืนยันเจตนารมณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล
"ปู-ฮุนเซน"ถกชื่นมื่น-เปิดพระวิหาร
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 13 ก.ค. ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ ดอนเมือง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ พร้อมนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกฯ เดินทางด้วยเที่ยวบินพิเศษ แอมแบร์ ของกองทัพบกไปยังเมืองเสียมราฐ กัมพูชา เพื่อกล่าวสุนทรพจน์ในงานเลี้ยงอาหารค่ำในการประชุมนักธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน ตามคำเชิญของนางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐ พร้อมหารือทวิภาคีกับสมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชา และเดินทางกลับในเวลา 23.00 น.
นายกฯ ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางว่า ถ้ามีโอกาสและจังหวะเวลาจะหยิบยกเรื่องการให้ความช่วยเหลือนายวีระ สมความคิดและน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกควบคุมตัวในกัมพูชา มาหารือด้วย
เวลา 16.00 น. ที่ประเทศกัมพูชา น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการหารือระหว่างน.ส.ยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีพม่า ว่า นายกฯแสดงความยินดีต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในพม่า พร้อมขอให้ความช่วยเหลือคนไทยที่รุกล้ำเข้าไปในพม่า หารือความร่วมมือการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายที่จะเชื่อมโยงท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังของไทย ซึ่งจะลงนามเอ็มโอยูระหว่างพล.อ.เต็ง เส่ง มาไทยระหว่างวันที่ 22-24 ก.ค.นี้
เวลา 16.30 น. ที่โรงแรม สุข อังกอร์ รีสอร์ต (Sokha Angkor Resort) เมืองเสียมราฐ น.ส. ยิ่งลักษณ์ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม หารือกับสมเด็จฮุนเซน และพล.อ.เตีย บันห์ รมว.กลาโหม กัมพูชา โดยใช้เวลาหารือ 1 ชั่วโมง จากนั้นแถลงข่าวร่วมกัน
สมเด็จฮุนเซน กล่าวว่า มีการหารือเรื่องการปรับลดกำลังของเจ้าหน้าที่และทหารบริเวณปราสาทพระวิหารตามคำสั่งศาลโลก จะเริ่มวันที่ 18 ก.ค. ประชาชน 2 ประเทศสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวที่ปราสาทเขาพระวิหารและเขามออีแดงได้อย่างปลอดภัย และมีการหารือเรื่องการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมทั้งทางรถยนต์และรถไฟ การเปิดจุดผ่านแดนถาวรเพิ่มเติม
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวว่า ความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชาดีขึ้นตามลำดับและไทยสนับสนุนการค้าตามแนวชายแดน ด้วยการเปิดจุดผ่านแดนที่บริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี กับจุดสะเตยล กวาง จ.พระวิหาร และจุดผ่านแดนถาวรบ้านหนองเอียน จ.สระแก้ว กับเขตสตรึงบก จ.บันเตียเมียนเจย เพื่อลดความแออัดของจุดผ่านแดนคลองลึก-ปอยเปต ซึ่งไทยพร้อมให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าในเรื่องเส้นทางการคมนาคมขนส่ง
ศาลปค.ไม่รับฟ้อง"ชัช-วสันต์"
วันที่ 13 ก.ค. ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ นายชยิน แสงจันทร์ ตุลาการศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องคดีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว.สรรหา ยื่นฟ้องนายชัช ชลวร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-2 ในคดีพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ 2 ทำหน้าที่เป็นตุลาการและประธานศาลรัฐธรรมนูญจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ให้เพิกถอนมติที่ประชุมตุลาการที่มีมติให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นตุลาการและประธานศาลรัฐธรรมนูญ ให้มีคำสั่งเรียกคืนเงินเดือนและผลประโยชน์อื่นที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้รับตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.2554 และขอให้ไต่สวนฉุกเฉิน
ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2555 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยกเลิกผลการใช้อำนาจในการบริหารประเทศที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็น นายกฯ และศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว โดยผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการลงมติอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ขอลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.2554 ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ออกจากตำแหน่งแต่ยังคงให้เป็นตุลาการฯต่อไป ต่อมาที่ประชุมตุลาการฯมีมติเมื่อวันที่ 24 ส.ค.2554 เลือกผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญแทน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ได้ลาออกและไม่ได้มีตำแหน่งเป็นตุลาการฯแล้ว ซึ่งเห็นได้จากการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 25 พ.ค.2551 ไม่ได้ระบุให้เป็นตุลาการฯ ต่อมาโปรดเกล้าฯให้ผู้ถูกฟ้องที่ 1 พ้นจากประธานศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้โปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นตุลาการฯ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้รับการเลือกให้เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้วย การลงมติจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองเห็นว่าการดำเนินการของคณะตุลาการฯดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคสี่ ประกอบมาตรา 204 วรรคสาม ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของตุลาการ มิใช่การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองที่จะอยู่ในอำนาจพิพากษาของศาลปกครอง จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ป.ป.ช.เล็งเอาผิดครม.ปูละเว้น
วันที่ 13 ก.ค. นายเมธี ครองแก้ว กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่ วันที่ 12 ก.ค. มีการหารือกรณีที่ประชุมครม.เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ไม่รับข้อเสนอของป.ป.ช.ที่ให้เปิดเผยราคากลางโครงการประมูลต่างๆ ไว้บนเว็บไซต์ให้สาธารณชนตรวจสอบได้เพื่อป้องกันการทุจริต โดยอ้างว่าป.ป.ช.ไม่มีอำนาจ ทั้งนี้ หลังหารือกันอย่างเคร่งเครียดที่ประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่มีมติว่าจะทำบันทึก 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 ส่งไปยังที่ประชุม ครม.เพื่อขอให้ทบทวนมีมติให้หน่วยงานของรัฐทำตามข้อกำหนดของป.ป.ช.ดังกล่าว และฉบับที่ 2 ส่งไปยังประธานรัฐสภา เพื่อแจ้งว่าป.ป.ช.ได้เสนอข้อกำหนดดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุม ครม.แล้ว ส่วนจะมีผลบังคับใช้หรือไม่ขึ้นอยู่กับมติ ครม. ทั้งนี้ เพื่อให้รัฐสภาช่วยกันตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
"ผมเสนอในที่ประชุมว่าหากเกิดความเสียหายที่เกิดจาก ครม.ไม่มีมติรับข้อกำหนดดังกล่าวของป.ป.ช. อาทิ เกิดความเสียหายซึ่งเกิดจากการไม่เผยแพร่ราคากลางไว้บนเว็บไซต์ แล้วมีผู้ร้องเข้ามายังป.ป.ช. ทางเราน่าจะไต่สวนเอาผิดกับครม. โทษฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ด้วยการไม่ออกมติ ครม.ให้ข้อกำหนดดังกล่าวของป.ป.ช.มีผลบังคับใช้ได้ด้วย" นายเมธีกล่าว
