

"ปู" โชว์วิสัยทัศน์ ย้ำการเชื่อมโยงคือหัวใจของการพัฒนาเพื่อสันติภาพ-ความรุ่งเรืองของอาเซียน
วันที่ 14 ก.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า เวลา 19.00 น. วานนี้ ที่โรงแรม Le Meridien เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ Commitment to Connectivity ในงานเลี้ยงอาหารค่ำของสภานักธุรกิจอาเซียน-สหรัฐ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีสำหรับการร่วมงานการประชุมนักธุรกิจสหรัฐอเมริกา–อาเซียน พร้อมชื่นชมการทำหน้าที่ประธานอาเซียนของกัมพูชา และขอบคุณนางฮิลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับคำเชิญฯ ซึ่งมีประเด็นเกี่ยวกับความเชื่อมโยงในอาเซียนที่สำคัญยิ่งต่อภูมิภาค
โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงอาเซียนว่าถือเป็นหัวใจสำคัญของประชาคมอาเซียนซึ่งจะช่วยปลดปล่อยศักยภาพตลาดเดียวได้อย่างเต็มที่ และเป็นฐานการผลิตที่มีประชากรมากกว่า 600 ล้านคน และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) รวมกันมากกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
อาเซียนเป็นตลาดที่เจริญเติบโตและเต็มเปี่ยมด้วยโอกาส อันมีปัจจัยมาจากการเป็นศูนย์กลางของเส้นทางการค้า เชื่อมโยงสู่เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออก และด้วยประชาคมอาเซียนที่เชื่อมโยงระหว่างกัน จะยิ่งสร้างการเติบโตและ การจ้างงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้กว้างขวางขึ้น ดังนั้น อาเซียนจะเป็นพลังและหุ้นส่วนที่เข้มแข็งของสหรัฐอเมริกา และร่วมกันก้าวสูยุคแห่งความรุ่งเรืองของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ดังนั้น หุ้นส่วน เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และอินเดีย จึงเข้ามามีส่วนร่วมกับอาเซียนและลุ่มแม่น้ำโขงมายาวนาน เพื่อการพัฒนาการเชื่อมโยง ด้วยเหตุนี้ อาเซียนยินดีต้อนรับความสนใจของสหรัฐฯที่มีต่อภูมิภาค ซึ่งแท้จริงแล้ว การสนับสนุนของสหรัฐฯ เพื่อการเชื่อมโยง เป็นยุทธศ่าสตร์สร้างความสมดุลย์อีกครั้งของสหรัฐฯในภูมิภาคอาเซียน โดยการส่งเสริมมิติความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านทางภาคเอกชนสหรัฐ
ในขณะเดียวกัน อาเซียนจำเป็นต้องตระหนักว่า ความขัดแย้งและความไม่มั่นคง ที่เกิดจากการพิพาทตามแนวชายแดน หรือปัจจัยอื่นๆก็ตาม เป็นอุปสรรคของขนส่งสินค้าข้ามแดนและการไปมาหาสู่ของประชาชน ดังนั้น อาเซียนต้องร่วมกันส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค ซี่งสำคัญต่อความสำเร็จในการพัฒนาความเชื่อมโยงและการสร้างประชาคมอาเซียน
อาเซียนได้ดำเนินการสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาค และถือเป็นวาระสำคัญอย่างยิ่ง เพราะด้วยการเชื่อมโยง อาเซียนจะมีสาธารณูปโภคที่แข็งแกร่ง ที่จะส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึงจะสร้างโอกาสที่กว้างขึ้นสำหรับผู้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงบทบาทของประเทศไทยในอาเซียน โดยยืนยันถึงนโยบายการส่งเสริมความเชื่อมโยงในอาเซียนและการสร้างประชาคมอาเซียน ในระดับภูมิภาคนั้น อยู่ในขั้นตอนบังคับใช้แผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity) และ กรอบกลยุทธ์พัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ปี 2012 – 2022
โดยประเทศไทยสนับสนุนงบประมาณการซ่อมแซมเส้นทางคมนาคมและการก่อสร้างสะพาน ตลอดแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ ตะวันออก-ตะวันตก และทางตอนใต้ นอกจากนี้ ไทยสนับสนุนการก่อตั้ง ASEAN Single Window ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จภายในปีนี้
อาเซียนมีกองทุนสาธารณูปโภคอาเซียน ซึ่งหากได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนและแหล่งทุนอื่นๆ จะช่วยพัฒนาสาธารณูปโภคที่จำเป็นในวงเงิน 18000 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาการบริหารจัดการตามแนวชายแดน เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยในบริเวณชายแดนจากผู้ใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงในทางที่ผิด
ในระดับทวิภาคีในการร่วมมือกับเมียนมาร์ ไทยและเมียนมาร์กำลังพัฒนา ท่าเรือน้ำลึกทวาย ที่จะช่วยเชื่อมต่อกรุงเทพมหานครกับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งถือเป็นเส้นทางเชื่อมต่อบนพื้นดินที่สำคัญ ระหว่างทะเลอันดามันกับอ่าวไทย ในระดับประเทศไทยกำลังลงทุนสูงถึง 73,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อจังหวัดที่สำคัญในประเทศไทย รวมทั้ง เชียงใหม่ ซึ่งในที่สุดจะเชื่อมไปถึงลาวและตอนใต้ของจีน นอกจากนี้ยังมีโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ถึง 65 ล้านคนต่อปี รวมถึงโครงการขยายเส้นทางเชื่อมของรถไฟฟ้าใต้ดินด้วย
นอกเหนือจากเหตุผลด้านการเชื่อมโยงอาเซียนยังมีปัจจัยอื่นๆที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนเช่น อาเซียนเป็นภูมิภาคที่อุดมไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ มีแรงงานที่มีทักษะและมีคุณภาพ และมีการบูรณาการส่วนต่างๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ กว่าร้อยละ 80 ของประชากรในภูมิภาคอาเซียน สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี ซึ่งจะต่อยอดด้วยการพัฒนาระเบียงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
ในด้านพลังงาน อาเซียนจะมีการพัฒนาโครงการท่อส่งก๊าซระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน และทั้งระบบจะเกิดขึ้นภายในปี 2020 ซึ่งจะช่วยลดงบประมาณการลงทุนและการดำเนินการได้ถึง 662 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนความมั่นคงทางอาหาร อาเซียน มีการเตรียมการรองรับ และมีศักยภาพในการเป็นผู้ผลิตอาหารที่สำคัญของโลก
ที่สำคัญไปกว่านั้น ความเป็นหนึ่งเดียวกันในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน จะนำไปสู่ความมั่นคงทางการตลาด และความร่วมมือระหว่างกัน ไม่ใช่การแข่งขัน ความหลากหลายและความแตกต่างเหล่านี้เป็นจุดแข็ง โดยอาเซียนดึงจุดเด่นของสมาชิกไว้ด้วยกัน และสร้างพลังที่จะสร้างพลวัตรและประชาคมอาเซียนที่มีประสิทธิผล
โดยสรุปแล้ว การเจริญเติบโตของประชาคมอาเซียนมีทุกมิติของการเติบโตอย่างยั่งยืน การสร้างความเชื่อมโยง จะส่งเสริมพลวัตรของภูมิภาค แต่กระนั้น อาเซียนยังต้องการการสนับสนุนจากมิตรเช่นสหรัฐ โดยเฉพาะ จากภาคเอกชนสหรัฐ ที่มีความเชี่ยวชาญที่หลากหลายตั้งแต่ในด้านพลังงานทางเลือก การขนส่งระหว่างประเทศ เทคโนโลยี และด้านการเงิน ด้วยความเป็นหุ้นส่วนระหว่างความรู้ เทคโนโลยี และการเงิน จากประเทศต่างๆ นอกภูมิภาค ร่วมกับ แรงงานที่มีทักษะความสามารถ สินทรัพย์
การรวมตัวกันที่เหนียวแน่น และการเชื่อมโยงในภูมิภาค จะส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งต่อการเติบโตและการจ้างงาน ไม่เพียงแต่อาเซียน แต่รวมถึงประเทศอื่นๆ และสหรัฐด้วย ซึ่งในที่สุดแล้ว จะสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค ซึ่งเป็นประโยชน์ร่วมกันที่สำคัญยิ่ง
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีแสดงความหวังว่า จะเห็นหุ้นส่วนสหรัฐเดินหน้าการลงทุนในอาเซียน เพื่ออนาคตร่วมกัน
