



เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายางานว่า บรรยากาศก่อนการอ่านคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในเวลา 14.00น. โดยทั่วไปยังไม่มีความตรึงเครียดมากนัก มีเพียงมวลชนกลุ่มเสื้อหลากสี ประมาณ 200 คน ร่วมกับกองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวน 100 คนที่ได้ปักหลักพักค้างชุมนุมให้กำลังใจการอ่านคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง
โดยช่วงเช้ามีการรวมตัวกันชูธงชาติพร้อมกับปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงสนับสนุนการทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ด้านการรักษาความปลอดภัยกองผสมปราบจลาจล กองบัญชาการตำรวจนครบาล จำนวน 3 กองร้อยได้กระจายกำลังดูแลความสงบเรียบร้อยรอบบริเวณศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงประตูทางเข้าออกทุกด้านของอาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคารเอ)อย่างเข้มงวด มีการสอบถามบุคคลที่เข้าออกว่ามาติดต่อเรื่องอะไรภายในสำนักงานแห่งนี้ รวมถึงการตรวจตราวัตถุต้องสงสัยที่มีการปฏิบัติอย่างเข้มข้นกว่าเดิม เบื้องต้นยังไม่มีผู้ร้องและผู้ถูกร้องเดินทางมารอฟังคำตัดสิน
อย่างไรก็ตามในเวลา 09.30น. ได้มี นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ อายุ 63 ปี ชาว กทม. มายืนกล่าวโจมตี นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนศาลรัฐธรรมนูญที่ชุมนุมอยู่ด้านหน้าแสดงความไม่พอใจและจะกันกรูเข้าทำร้าย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กันตัวผู้หญิงคนดังกล่าวออกไปก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายขึ้น
ขณะที่นาย สมฤทธิ์ ไชยวงค์ โฆษกศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ไม่กังวลว่าจะเกิดปัญหาความวุ่นวายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย โดยเรื่องนี้ขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องคอยประเมินสถานการณ์ และเตรียมมาตรการรองรับ ส่วนกระแสข่าวความเป็นไปได้ต่อมติคำวินิจฉัย 4ต่อ4 นั้น ถือว่าไม่มีความเป็นไปได้ เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะต้องหาข้อยุติในที่ประชุมเพื่อให้ได้มติเสียงข้างมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง 9 คน ได้ทยอยเดินทางเข้ามายังสำนักงานตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา เพื่อปฏิบัติหน้าที่การประชุมลงมติและอ่าคำวินิจฉัย โดยตุลาการแต่ละคนมีสีหน้าเรียบเฉย และไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับการลงมติกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ว่าเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 68 หรือไม่ แต่อย่างใด
โดยตุลาการทั้ง 9 คนจะเข้าประชุมเพื่อพิจารณาในวาระอื่นอีก 3 วาระก่อน หลังจากนั้น นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็จะออกจากห้อง เนื่องจากได้ถอนตัวออกจากองค์คณะไปก่อนหน้านี้ แล้วตุลาการทั้ง 8 คนที่เหลือ จะได้แถลงอภิปรายด้วยวาจา เพื่อลงมติให้ได้เสียงข้างมากในการจัดทำคำวินิจฉัยกลาง และออกนั่งบัลลังก์ในเวลา 14.00 น. เมื่อศาลอ่านคำวินิจฉัยเสร็จสิ้น ก็จะให้ผู้ร้อง และผู้ถูกร้องลงชื่อรับทราบคำวินิจฉัย และจะแจ้งให้คู่กรณีทั้งสองทราบว่าจะสามารถคัดสำเนาคำวินิจฉัยกลางภายในกี่วัน ส่วนคำวินิจฉัยส่วนตัวของตุลาการแต่ละคนนั้น เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการก็จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
การอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้เบื้องต้นคาดว่า หากอ่านเพียงเฉพาะผลของคำวินิจฉัยจะใช้เวลาอ่านทั้งสิ้นเพียง 1 ชั่วโมง ซึ่งจะมีการพิจารณาใน 4 ประเด็นคือ 1. ประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องในคดีนี้ได้หรือไม่ และศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคดีนี้ไว้พิจารณาได้หรือไม่ 2. ประเด็นพิจารณาว่า การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญของผู้ถูกร้องชอบด้วย มาตรา 291 หรือไม่ 3. ประเด็นพิจารณาว่าการกระทำของผู้ถูกร้องขัดต่อมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ4. ประเด็นพิจารณาว่า ต้องยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และกรรมาการบริหารพรรคหรือไม่ ซึ่งจะอ่านไล่เรียงไปทีละประเด็น จนจบการอ่านคำวินิจฉัย
หลังจากการอ่านคำวินิจฉัยเสร็จสิ้น คณะโฆษกของศาลรัฐธรรมนูญจะแถลงข่าวและเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนซักถามในประเด็นที่สังคมอาจจะยังค้างคาใจในคำวินิจฉัย
